การใช้ปุ๋ย และการอนุรักษ์ดิน

             การใช้ปุ๋ย และการอนุรักษ์ดิน

             ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง และให้ผลผลิตสูง ซึ่งมีความต้องการธาตุอาหารในปริมาณที่สูง ดังนั้นในการทำสวนปาล์มน้ำมันจะต้องใช้ปุ๋ยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิต จึงจำเป็นต้องทราบชนิด และอัตราปุ๋ยที่ปาล์มน้ำมันต้องการ รวมทั้งวิธีการและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใส่ปุ๋ยในแหล่งปลูกต่างๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

1. บทบาทและอาการขาดธาตุอาหาร ที่สำคัญของปาล์มน้ำมัน

1.1 ไนโตรเจน (N)

N เป็นองค์ประกอบของโปรตีนและนิวคลีโอโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่อยู่ในโครโมโซมมีความสำคัญต่อขบวนการเจริญเติบโตของพืช ปาล์มน้ำมันในช่วง Main Nursery และ immature stage จะตอบสนองต่อธาตุ N มากกว่าต้นปาล์มขนาดใหญ่ ดังนั้น อาการขาดธาตุ N จะพบมากในต้นปาล์มเล็กที่ปลูกในดินทรายตื้นๆ หรือดินที่มีการระบายน้ำเลว และในพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ที่มีวัชพืชขึ้นอยู่หนาแน่น รวมทั้งหน้าดินมีการชะล้าง พังทลาย

                สภาพแวดล้อมที่แสดงอาการขาดธาตุอาหาร

1) สภาพน้ำท่วมขัง

2) ดินเป็นกรดจัด (pH < 4) ในดินพรุ

3) หน้าดินตื้น และ แน่นทึบ

4) สภาพหลังจากใส่เศษซากพืชที่มี อัตราส่วนของ คาร์บอน/ไนโตรเจนสูง

                อาการที่ใบ

1) ใบมีขนาดเล็กลง มีสีเหลืองซีดหรือเขียวอมเหลืองเกิดที่ทางใบด้านล่างก่อน

2) ขาดรุนแรงจะแสดงที่ใบมีสีเหลืองเพิ่มขึ้น

3) ทางใบและเส้นใบมีสีเหลือง แผ่นใบย่อยจะเรียวลงและม้วนเข้าหากัน

4) ปลายใบย่อยจะเป็นสีม่วงอมน้ำตาล

                อาการที่ต้น

1) ลดการผลิตทางใบ และลดการเจริญเติบโต

2) ในปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว ขนาดของหน้าตัดแกนทางลดลง

3) การให้ผลผลิตครั้งแรกช้าลง

4) ผลผลิตลดลง

 

อาการขาดธาตุไนโตรเจน

1.2 ฟอสฟอรัส (P)

          ฟอสฟอรัสบทบาทความสำคัญในเซลพืช การสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ ของเซลการแบ่งเซลและการสัมพันธุ์และทำหน้าที่เป็นตำรับและถ่ายทอดพลังงานระหว่างสารต่าง ๆ ในกระบวนการที่สำคัญ ๆ เช่น กระบวนการสังเคราะห์แสง กระบวนการหายใจเป็นต้น

                สภาพแวดล้อมที่แสดงอาการขาดธาตุอาหาร

1) สภาพที่มีการชะล้างพังทลายของหน้าดิน

2) ดินตะกอนที่มีการตรึงฟอสฟอรัส

3) ดินจากเถ้าภูเขาไฟ

4) ดินที่มีธาตุฟอสฟอรัสต่ำ

                อาการที่ต้น อาการขาดธาตุ P ในปาล์มมักจะไม่แสดงอาการออกมาชัดเจนแต่อาจสังเกตได้จากปาล์มมีอัตราเจริญเติบโตต่ำทางใบสั้นลงลำต้นเล็กและขนาดของทะลายปาล์มเล็กลงและอาจสังเกตจากต้นหญ้าหรือพืชตระกูลถั่วที่ปลูกบริเวณใกล้ต้นปาล์มมีปลายใบและก้านใบสีม่วง ใบล่างจะมีขนาดเล็กสีม่วงเข้ม ถ้า

1) ทางใบสั้น

2) ต้นปาล์มชะงักการเจริญเติบโต

 

3) เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นลดลงในขณะที่มีความสูงเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นปาล์มมีลักษณะคล้ายปิรามิด

 

อาการขาดธาตุฟอสฟอรัส

1.3 โพแทสเซียม (K)

K เป็น Enzyme activator เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์แสงและการหายใจ กระบวนการสร้างแป้งและน้ำตาล ตลอดจนการเคลื่อนย้ายแป้งและน้ำตาลในพืชช่วยให้น้ำในพืชมีความสมดุลย์และควบคุมการปิดเปิดปากใบในเซลพืช ซึ่งมีผลให้ปาล์มน้ำมันที่ได้รับ K เพียงพอทนทานต่อความแห้งแล้ง และโรคตลอดจนทำให้ทะลายปาล์มมีขนาดใหญ่และจำนวนเพิ่มขึ้น

ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ต้องการ K สูง และมักจะเป็นธาตุอาหารที่มีการขาดอยู่เสมอ ในทุกพื้นที่ของการปลูกปาล์ม

                สภาพแวดล้อมที่แสดงอาการขาดธาตุอาหาร

1) ดินพรุ

2) หน้าดินตื้น และแน่นทึบ

3) ดินทรายที่มีสภาพเป็นกรดจัด

4) ดินที่ผ่านการทำการเกษตร

อาการขาดธาตุ K ค่อนข้างแปรปรวนขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ลักษณะอาการที่แสดงออกชัดเจนคือ

1) ใบมีจุดสีส้ม อาการเริ่มแรกพบในใบย่อยของทางใบล่าง จะเป็นจุดเหลืองซีด รูปร่างไม่แน่นอนเกิดขึ้นตามความยาวของทางใบ เมื่ออาการรุนแรงจุดเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้ม สลับตัดกับสีเขียวบางส่วนของใบ และเป็นจุดสีส้มในวงสีเหลือง อาการรุนแรงมากขึ้น จะพบเนื้อเยื่อแห้งตายตรงส่วนกลางของจุดสีส้ม ปลายและขอบทางใบย่อยแห้งตาย และในบางกรณีจะพบใบปาล์มล่างมีลักษณะดังกล่าว แต่แสดงอาการเพียงต้นเดียวในขณะที่ต้นข้างเคียงไม่แสดงอาการ ให้พิจารณาว่าน่าจะเป็นผลทางพันธุกรรมมากกว่าการขาดธาตุ K

2) อาการใบย่อยสีเหลืองแพร่กระจายเป็นวง ลักษณะอาการนี้พบเสมอ กับปาล์มที่ปลูกบนดินทราย ดินพรุ โดยเฉพาะในช่วงที่ขาดน้ำอย่างรุนแรง ใบย่อยของทางใบกลางจนถึงทางใบล่างของลำต้น มีอาการสีเหลืองและแห้งตาย

3) อาการตุ่มแผลสีส้มบนใบย่อยของทางใบล่าง

 

  
อาการขาดธาตุโพแทสเซียม

1.4 แมกนีเซียม (Mg)

Mg มีบทบาทที่สำคัญในพืช คือ เป็น Enzyme activator เป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ที่มีสีเขียวและมีบทบาทในการสังเคราะห์กรดไขมัน ควบคุมปริมาณอาการขาด Mg มักพบในบริเวณพื้นที่ปลูกปาล์มในดินทราย และดินกรด และบริเวณที่หน้าดินถูกชะล้าง ลักษณะอาการขาดธาตุ Mg สังเกตได้ง่ายโดยใบย่อยของทางใบตอนล่าง จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม โดยเฉพาะใบที่ได้รับแสงอาทิตย์โดยตรง แต่ส่วนใบย่อยที่ไม่สัมผัสแสงอาทิตย์ จะยังคงมีสีเขียวอยู่ แต่ถ้าขาดรุนแรงใบจะเป็นสีส้มทั้งใบ และแห้งตายเป็นหย่อม อาการขาด M g อาจเกิดจากต้นปาล์มได้รับ K มากเกินไปก็ได้

 

 

อาการขาดธาตุแมกนีเซียม

1.5 โบรอน (B)

B มีบทบาทในการสังเคราะห์และย่อยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตในพืช ช่วยในการลำเลียงน้ำตาลในพืช เกี่ยวข้องกับการดูดและคายน้ำ และกระบวนการสังเคราะห์แสง จำเป็นสำหรับการงอกของหลอดละอองเกสรตัวผู้ในช่วงการผสมเกสร จำเป็นในการแบ่งเซลโดยเฉพาะบริเวณปลายยอดและปลายรากและเกี่ยวข้องกับดึงดูดธาตุแคลเซียมของรากพืช ดังนั้น B เป็นธาตุอาหารที่ค่อนข้างมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมันมาก การขาดธาตุ B ของปาล์มน้ำมันเป็นปัญหาใหญ่ และพบอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย

ลักษณะอาการขาดธาตุ B จะแสดงออกที่ส่วนที่อ่อนที่สุดของพืช เนื่องจากเป็นธาตุที่ไม่เคลื่อนย้ายในพืช ดังนั้น การขาดธาตุโบรอนจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของใบทำให้ใบมีรูปร่างผิดปกติดังนี้

1) ทางใบยอดจะย่นพับเข้าหากัน ทำให้ใบยอดสั้นผิดปกติ

2) อาการขาดที่ไม่รุนแรง ปลายใบจะหักงอคล้ายรูปขอ (Hooked leaf)

3) อาการขาดที่รุนแรง ใบยอดจะย่น และปลายใบหัก นอกจากนี้มีอาการใบเปราะและสีเขียวเข้ม

4) ทะลายปาล์มจะมีเมล็ดลีบ หรือ มีเปอร์เซ็นต์การผสมไม่ติดสูง

1.6 ธาตุอาหารอื่นๆ

 

การขาดธาตุอาหารอื่นๆ ไม่ค่อยพบบ่อยนัก ปาล์มที่ปลูกในดินพรุหรือดินทรายจัด จะพบมีการขาดธาตุทองแดง ปาล์มที่ปลูกในดินจอมปลวกที่มีความเป็นด่างสูง จะมีการขาดธาตุเหล็กอย่างไรก็ตามการขาดธาตุอาหารเหล่านี้ มักไม่ค่อยมีความสำคัญเพราะพบน้อยมาก


อาการขาดธาตุโบรอน

2. การประเมินความต้องการธาตุอาหารของปาล์มน้ำมัน

             การกำหนดความต้องการธาตุอาหารของปาล์มน้ำมันนั้น นิยมใช้ผลการวิเคราะห์ธาตุอาหารในใบ มาประกอบเป็นแนวทางการใส่ปุ๋ย เพราะค่าวิเคราะห์ธาตุอาหารในใบปาล์มน้ำมันที่ได้มีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิต นอกจากการวิเคราะห์ใบแล้ว ตลอดจนการบันทึกปริมาณผลผลิตที่ได้ในแต่ละปี เพื่อความมั่นใจจะต้องมีการวิเคราะห์ธาตุอาหารในดิน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินความต้องการธาตุอาหาร และสุดท้ายนำผลที่ได้เหล่านั้น มาพิจารณาเพื่อการใส่ปุ๋ย

2.1 การวิเคราะห์ดิน

          การวิเคราะห์ดินมีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสำรวจดินก่อนปลูก แต่ไม่เหมาะสมที่จะวิเคราะห์ดินทุกปี เพื่อใช้ในการพิจารณาการใช้ปุ๋ย เพราะว่าเป็นการยากที่จะเก็บตัวอย่างดินที่เป็นตัวแทน ที่จะบอกระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในบริเวณรากปาล์มน้ำมันได้อย่างแท้จริง

2.2 การวิเคราะห์ใบ

          การใช้ค่าผลการวิเคราะห์ธาตุอาหารในใบ เพื่อประเมินระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และของต้นพืชนั้น มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพืชจำพวกไม้ยืนต้นซึ่งมีการเจริญเติบโตช้า และตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยในระยะ เวลาที่นาน และมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น กับปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นพืชที่ไม่มีระยะพักตัว เหมือนกับไม้ผล โดยปาล์มน้ำมันจะมีการเจริญเติบโต และให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับงานทดลอง การใช้ผลการวิเคราะห์ธาตุอาหารในใบปาล์มน้ำมัน (ทางใบที่ 17) เพื่อการใช้ปุ๋ยเคมี มีงานทดลองมากมายในต่างประเทศ เช่น ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างธาตุอาหารในใบกับผลผลิตปาล์มน้ำมัน ทำให้มีการกำหนดค่าความเข้มข้นที่เหมาะสมของแต่ละธาตุ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาว่า ระดับธาตุอาหารในใบที่วิเคราะห์ได้นั้น เพียงพอต่อความต้องการของต้นปาล์มน้ำมันหรือไม่ ซึ่งได้มีการกำหนดเป็นช่วงความเข้มข้นที่เหมาะสม ระดับไม่เพียงพอ และระดับที่มากเกินพอ (ตารางที่ 2)

                อย่างไรก็ตามค่าความเข้มข้นของธาตุอาหารในใบที่เหมาะสม จะมีความแปรปรวน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ ดิน ภูมิอากาศ ตลอดจนธาตุอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สภาพดิน ปริมาณน้ำฝน ซึ่งผลวิเคราะห์ใบปาล์มน้ำมัน จะมีความแม่นยำมากขึ้น เมื่อมีการวิเคราะห์ติดต่อกันหลายปี ในสภาพพื้นที่ของแต่ละสวนปาล์ม

 

ระดับธาตุอาหารในทางใบที่ 17 ของปาล์มน้ำมันอายุต่างๆ กัน

3. การแนะนำการใช้ปุ๋ย

          การใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด มีหลักเกณฑ์ ที่ควรพิจารณา ดังนี้

3.1 ชนิดปุ๋ย

การเลือกใช้ปุ๋ยมีความสำคัญประการหนึ่งในการจัดการสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งนอกจากจะต้องคำนึงถึงราคาของปุ๋ยแล้ว ควรคำนึงถึงผลตอบแทนจาการใส่ปุ๋ยด้วย ซึ้งในการเลือกใช้ปุ๋ยด้วย ซึ่งในการเลือกใช้ปุ๋ยควรพิจารณาคุณสมบัติของปุ๋ย สภาพพื้นที่และภูมิอากาศในสวนด้วย เพื่อที่จะเลือกใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาพื้นที่ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของของการใช้ปุ๋ย สำหรับปุ๋ยที่นิยมในสวนปาล์ม เป็นปุ๋ยเชิงเดี่ยว ซึ่งมีราคาต่อหน่วยธาตุอาหารต่ำกว่าปุ๋ยผสมและสามารถปรับลดอัตราการใส่ธาตุอาหารแต่ละชนิดไดตามต้องการของพืช ซึ่งแหล่งปุ๋ยเชิงเดี่ยวมีหลายชนิด

1) ปุ๋ยไนโตรเจน

         แหล่งให้ธาตุไนโตรเจน (N) ในสวนปาล์มน้ำมัน ได้แก่

(1)       ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีที่นิยมใช้เป็นแหล่งของธาตุ N ในสวนปาล์มน้ำมัน ได้แก่ปุ๋ยแอมโมเนียม ซัลเฟต (21% N) และปุ๋ยยูเรีย (46% N) ซึ่งเป็นปุ๋ยยูเรียเป็นปุ๋ยที่ให้ธาตุ N เป็นปริมาณสูง แต่ในการเลือกใช้ปุ๋ยชนิดนี้ต้องระวังการสูญเสียจากระเหิด (Volatilization) โดยเฉพาะการใส่ปุ๋ยยูเรียในดินทรายที่เป็นด่าง

(2)       การตรึงไนโตรเจนของพืชตระกูลถั่ว การปลูกพืชตระกูลถัวคลุมดิน ตั้งแต่เริ่มปลูกสร้างสวนปาล์มเป็นการเพิ่มอินทรีย์ไนโตรเจน ซึ่งเมื่อตระกูลถัวสลายตัว ค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ออกมาช้า ๆ ซึ่งพืชตระกูลถั่วที่นิยมปลูกดิน ได้แก่ ถั่วคาโลโปโกเนียม (Calopogonium caerulum) ผสมถั่วเพอราเรีย (Pueraria phaseoloides) ซึ่งจะเป็นแหล่งให้ธาตุ N ที่สำคัญในสวนปาล์มโดยเฉพาะในช่วงปีที่ 3-5 ของการปลูก เพื่อสลายตัวจะปลดปล่อยธาตุ N เท่ากับ 1.34 กก./ต้น/ปี หรือ 30 กก./ไร่/ปี

(3)       การใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มเติมในดิน เช่น ทางใบปาล์มที่ตัดแต่งแล้ว ทะลายเปล่าปาล์มมัน ซึ่งเมื่อสลายตัวจะเป็นแหล่งของธาตุอาหารที่สำคัญ และอินทรียวัตถุเหล่านี้จะช่วยรักษาความชื้นของดินทำให้ดินมีโครงสร้างดี ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพ เคมีและจุลชีวของดิน ทำให้ประสิทธิภาพการดูดใช้ธาตุอาหารของรากเพิ่มขึ้น และช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของปุ๋ย N ที่ใส่ในสวนปาล์ม

 

2) ปุ๋ยฟอสฟอรัส

          ปุ๋ยที่ให้ธาตุ P ที่นิยมใช้ในสวนปาล์มน้ำมัน ได้แก่ปุ๋ยทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต (46%P2O5) และปุ๋ยร็อคฟอสเฟต ซึ่งความเป็นประโยชน์ของธาตุ P จะขึ้นอยู่แหล่งของร็อคฟอสเฟต ซึ่งในการเลือกใช้ปุ๋ย P นี้ ขึ้นอยู่กับราคาปุ๋ยความเป็นประโยชน์ของธาตุ P ที่พืชต้องการ กรณีที่ปาล์มอายุน้อย (immature) หรือแสดงอาการขาดธาตุ P ควรใส่ปุ๋ย P ในรูปของปุ๋ยทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต ซึ่งจะมีธาตุฟอสฟอรัส อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ง่าย ทำให้ปาล์มสามารถใช้ประโยชน์จากปุ๋ยที่ใส่ได้ทันที

ในสวนปาล์มที่โตเต็มที่ (mature) สามารถใส่ปุ๋ยทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต และร็อคฟอสเฟตเป็นแหล่งของธาตุ P ในสวนปาล์มได้ แต่การเลือกใช้ปุ๋ยร็อคฟอสเฟต จะทำให้ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านปุ๋ยเคมี เนื่องจากมีราคาต่อหน่วยธาตุอาหารต่ำกว่าปุ๋ยทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต

 

3) ปุ๋ยโพแทสเซียม

          ปุ๋ยที่ให้ธาตุ K ที่นิยมใช้ในสวนปาล์มน้ำมัน ได้แก่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ และปุ๋ยโพแทสเซียมซัลเฟต แต่สวนใหญ่จะนิยมใช้ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ เพราะมีราคาต่อหน่วยธาตุอาหารต่ำกว่า

แหล่งของธาตุ K ที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง คือ ทะลายเปล่าปาล์มน้ำมัน ซึ่งได้จากผลผลิตทะลายปาล์มสดที่สกัดน้ำมันออกแล้ว โดยผลผลิตทะลายสด เมื่อสกัดน้ำมันออกแล้วจะได้ส่วนที่เป็นทะลายเปล่า 22%

ใน 1 ตันทะลายเปล่าจะมีธาตุอาหารต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งคิดเทียบเท่าปุ๋ยเคมีแอมโมเนียมซัลเฟต 15.3 กก. ปุ๋ย Christmas Island Rock Phosphate 2.5 กก. ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ 18.8 กก. และ ปุ๋ยคีเซอร์ไรท์ 4.7 กก. ดังนั้น จึงสามารถใช้ทะลายเปล่าเป็นแหล่งของธาตุ K ในสวนปาล์มน้ำมันได้

 

4) ปุ๋ยแมกนีเซียม

          ปุ๋ยที่ธาตุ Mg ที่นิยมใช้ในสวนปาล์มน้ำมัน ได้แก่ ปุ๋ยคีเซอร์ไรท์ และปูนโดโลไมท์ (ground magnesium limestone) ซึ่งสามารถในการสะลายจะต่างกัน โดยคีเซอร์ไรท์ จะมีธาตุ Mg อยู่ในรูปละลายน้ำได้ง่ายกว่าปูนโดโลไมท์ แต่ในดินกรดควรใส่ปูนโดโลไมท์ ซึ่งจะมีธาตุ Ca เป็นองค์ประกอบทำหน้าที่ปรับสภาพความเป็นกรดของดิน สำหรับปาล์มน้ำมันที่มีอายุน้อย (immature) หรือแสดงอาการขาดธาตุควรเลือกใช้ปุ๋ยคีเซอร์ไรท์ ซึ่งมีธาตุ Mg ในรูปละลายน้ำไดง่าย สำหรับปาล์มน้ำมันที่โตเต็มที่แล้ว (mature) สามารถเลือกใช้ปูนโดโลไมท์ เป็นแหล่งธาตุ Mg ทดแทนการใช้ปุ๋ยคีเซอร์ไรท์ โดยไม่ทำให้ผลผลิตทะลายปาล์มน้ำมันและความเข้มข้นของธาตุ Mg ในปบแตกต่างกัน และโดโลไมท์ทำหน้าที่เหมือนปูนที่ปรับสภาพความเป็นกรดของดิน (liming agent) ทำให้ดินมี pH ที่เหมาะสม ที่จะทำให้ธาตุอาหารพืชละลายออกมาในรูปที่เป็นประโยชน์ได้ง่าย แต่การใส่โดโลไมท์ ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ควรระวังการสะสมธาตุ Ca ในดิน ซึ่งถ้ามีปริมาณมาก อาจส่งผลกระทบต่อการดูดใช้ธาตุ K ของรากพืชได้

 

3.2 ความถี่ในการใส่ปุ๋ย

          ความถี่ในการใส่ปุ๋ยหรือการเพิ่มจำนวนครั้งในการใส่ปุ๋ยเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ย เนื่องจากจะสามารถลดการสูญเสียธาตุอาหารจาการชะล้างที่ผิวหน้าดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนมาก การใส่ปุ๋ยบ่อยครั้ง ทำให้ปาล์มน้ำมันมีผลผลิตสูงแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ และการใส่ปุ๋ยมากกว่า 1 ครั้งต่อปี ดีกว่าการใส่เพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม ความถี่ในการใส่ปุ๋ยขึ้นอยู่กับความต้องการของพืช อายุปาล์ม สิ่งปกคลุมดิน ชนิดปุ๋ยและน้ำฝน ซึ่งการเพิ่มจำนวนครั้งในการใส่ ต้องคำนึงถึง การลดการสูญเสียธาตุอาหารจากการชะล้างและน้ำไหลบ่าให้เหลือน้อยที่สุด ขณะเดี่ยวกันธาตุอาหารที่ให้ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม และอยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ เหมาะสมกับความต้องการของปาล์มน้ำมัน เช่น ในปาล์มเล็ก ควรเพิ่มความถี่ในการใส่ปุ๋ย เนื่องจาก ในระยะนี้ปาล์มน้ำมันมีความต้องการธาตุอาหารสูงในการใช้เพื่อการเจริญเติบโต แต่ในปาล์มที่โตเต็มที่แล้วสามารถลดจำนวนครั้งของการใส่ปุ๋ยลง จำนวนครั้งของการใส่ปุ๋ยในรอบปีสำหรับปุ๋ยที่ให้ธาตุ N K และ Mg ควรใส่ 2-3 ครั้ง/ปี ในดินทั่วไป แต่ถ้าเป็นดินทรายมีความสามารถในดารดูดยึดธาตุอาหารต่ำ ควรใส่ปุ๋ย 3-4 ครั้ง/ปี เพื่อลดการสูญเสียธาตุอาหาร สำหรับปุ๋ย P สามารถใส่ 1-2 ครั้ง/ปี เนื่องจากการใส่ปุ๋ย P จะทำให้ผลตกค้างของธาตุ P ในดิน

 

3.3 อัตราการใส่

         การใส่ปุ๋ยในอัตราที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภายในสวนปาล์มน้ำมัน เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม เนื่องจาการใช้ปุ๋ยในอัตราที่มากเกิน หรือน้อยเกินความต้องการของปาล์มน้ำมัน จะส่งผลกระทบต่อการให้ผลผลิต เป็นสาเหตุให้ผลผลิตลดลงเนื่องจากความไม่สมดุลของธาตุอาหาร และการใส่ปุ๋ยที่มากเกินความต้องการปาล์มน้ำมัน ทำให้ ผลกำไรลดน้อยลง และเกิดการสูญเสียธาตุอาหาร ทำให้ดินเป็นกรดจัด และเสื่อมสภาพ และก่อให้เกิดมลพิษต่อส่งแวดล้อม เนื่องจากธาตุอาหารที่ถูกชะล้างไปกับน้ำ หรือน้ำไหลบ่า จะไหลสู่แหล่งน้ำ

ดังนั้นในการกำหนดอัตราการใส่ปุ๋ย จะต้องคำนึงถึงหลักความสมดุลของธาตุอาหาร และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพภูมิอากาศ พันธุ์ อายุปาล์ม การเจริญเติบโตและให้ผลผลิต สภาพดิน ประวัติของแปลง และการจัดการสวน อัตราการใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ แสดงในตารางแนะนำการใช้ปุ๋ยทั่วไปของปาล์มน้ำมัน

 

ตารางคำแนะนำการใส่ปุ๋ยทั่วไปสำหรับปาล์มน้ำมันอายุต่าง ๆ

 หมายเหตุ : ควรแบ่งใส่ 3 ครั้งต่อปี ตามสภาพความเหมาะสมของความชื้นในดิน

 

3.4 วิธีการใส่ปุ๋ย

          วิธีการใส่ปุ๋ยเป็นขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ใส่ ซึ่งการใส่ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความรู้ในเรื่องของการดูดซึมธาตุของอาหารจากพืชประกอบ เพื่อที่จะให้ตรงกับบริเวณที่มีรากพืชอยู่ สำหรับปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีระบบรากฝอย (adventitious root) ซึ่งมี 4 ชุด รากแรก และรากสอง เป็นรากที่ทำหน้าที่ค้ำจุนลำต้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 มม. และ 2-4 มม. ตามลำดับ และรากสามและรากสี่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7-1.0 มม. และ 0.1-0.3 มม. ตามลำดับ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่หาอาหาร (feeding root) และพบบริเวณผิวดิน ระดับลึก 30 ซม. โดยพบหนาแน่นบริเวณใต้กองทางใบ และบริเวณที่มีการกำจัดวัชพืชรอบโคนต้นปาล์ม (weed cycle) ดังนั้นหลักใหญ่ในการใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันให้ถูกวิธี ควรที่จะใส่บริเวณที่มีรากหาอาหารกระจายอยู่

 

                3.4.1 วิธีการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน

วิธีการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับอายุของปาล์มน้ำมัน อัตราปุ๋ยที่ใส่ และความสามารถในการสะลายของธาตุอาหารที่ใส่สู่ดิน ซึ่งควรใส่บริเวณที่รากสามารถดูดธาตุอาหารได้เพื่อไม่ให้ธาตุอาหารถูกชะล้างไปกับน้ำ

วิธีการใส่ปุ๋ย N ที่เหมาะสม ได้แก่

1) ปาล์มน้ำมันที่เริ่มปลูก หรืออายุยังน้อย ควรใส่ปุ๋ย N โดยวิธีหว่านให้ทั่วบริเวณรอบโคนที่กำจัดวัชพืช

2) ปาล์มน้ำมัน อายุ 5-10 ปี ควรหว่านปุ๋ยให้ทั่ว บริเวณระหว่างแถวปาล์มน้ำมัน หรือบริเวณกองทางใบ

3) ปาล์มน้ำมันอายุ 10 ปีขึ้นไป ควรหว่านปุ๋ยให้ทั่วบริเวณระหว่างแถวปาล์มน้ำมัน

          สำหรับการใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต และยูเรีย สามารถใส่ปุ๋ยชนิดนี้ได้ทั้งในบริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืช หรือการหว่านระหว่างแถว โดยการใส่ทั้ง 2 วิธีนี้ ไม่ทำให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมันอายุ 7-8 ปี แตกต่างกัน และใบปาล์มน้ำมันอายุ 10 ปี ก็ทำให้ผลไม่แตกต่างกัน นอกจากนี้ควรใส่ปุ๋ยยูเรียในดินล่าง (subsoil) เพื่อลดการสูญเสียธาตุอาหารจากการระเหิด หรือ น้ำไหลบ่า

 

                3.4.2 วิธีการใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัส

ธาตุฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่เคลื่อนย้ายยากในดิน และมักจะถูกยึดโดยอนุภาคดิน หรืออาจถูกตรึงอยู่ในดินทำให้ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารลดลง การเคลื่อนที่ของธาตุ P จากสารละลายดินสู่รากพืช อาศัยกระบวนการแพร่ (diffusion) ซึ่งอัตราการแพร่ขึ้นอยู่กับความชื้นในดิน ดังนั้นในการใส่ปุ๋ย P เช่นปุ๋ยร็อคฟอสเฟต สำหรับปาล์มน้ำมันที่โตเต็มที่แล้ว (mature) ควรใส่โดยวิธีการหว่านให้ทั่วระหว่างแถวปาล์ม หรือหว่านลงในกองทางใบปาล์ม ซึ่งจะทำให้ปุ๋ย P สัมผัสกับรากโดยตรง และเป็นบริเวณที่ดินความชื้นสูง ทำให้รากดูดใช้ธาตุ P ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในปาล์มเล็กที่มีอายุน้อย (immature) ควรใส่ปุ๋ย P โดยวิธีหว่าน ให้ทั่วบริเวณรอบโคน ที่กำจัดวัชพืช หรือภายในทรงพุ่มของปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรากหาอาหารอยู่มาก

 

                3.4.3 วิธีการใส่ปุ๋ยโพแทสเซียม

การเคลื่อนที่ของธาตุ K อาศัยกระบวนการแพร่ เช่นเดียวกับธาตุ P และสามารถเคลื่อนย้ายได้เร็วกว่า แต่ขณะเดียวกันสามารถสูญเสียจากการชะล้างโดยน้ำได้ง่าย ดังนั้นในการใส่ปุ๋ยชนิดนี้ ในช่วงปีแรก ๆ ของการปลูกหรือปาล์มอายุน้อย ควรใส่ปุ๋ย K โดยวิธีหว่านให้ทั่วบริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืช และควรแบ่งใส่ปุ๋ยหลายครั้ง เพื่อป้องกันการสูญเสียจากการชะล้าง แต่ในปาล์มที่โตเต็มที่แล้ว ควรใส่โดยวิธีหว่านให้ทั่วระหว่างแถวปาล์ม หรือบริเวณกองทางใบปาล์ม ซึ่งมีรากหาอาหารอยู่มาก และดินมีความชื้นสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดใช้ธาตุ K ของรากปาล์มน้ำมัน

 

                3.4.4 วิธีการใส่ปุ๋ยแมกนีเซียม

สำหรับการใส่ปุ๋ยแมกนีเซียม มีหลักการใส่เหมือนปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารชนิดอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นคือ ในระยะปาล์มเล็ก ควรใส่โดยวิธีการหว่านปุ๋ยให้ทั่วบริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืช หรือภายในทรงพุ่มปาล์มน้ำมัน แต่ในปาล์มที่โตเต็มที่แล้ว ควรหว่านปุ๋ยระหว่างแถวหรือบริเวณกองทางใบปาล์ม ซึ่งจะทำให้รากสามารถสัมผัสธาตุอาหารได้โดยตรง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของรากในการดูดธาตุอาหาร (ควรใส่ก่อนหรือหลังในการใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมอย่างน้อย 30 วัน)

 

3.5 เวลาในการใส่ปุ๋ย

          เวลาในการใส่ปุ๋ยเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่ง ที่ควรคำนึงเป็นอย่างมาก ถ้าใส่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียธาตุอาหาร ทำให้การตอบสนองต่อการใส่ปุ๋ยลดลง และมีผลให้ประสิทธิภาพของปุ๋ยลดลงเช่นกัน

เวลาในการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมนิยมใส่ช่วงที่ดินมีความชื้นระดับที่เหมาะสม หรือหลังจากเดือนที่มี ฝนตกเล็กน้อย หลีกเลี่ยงเดือนที่ฝนตกหนัก เพราะจะทำให้ธาตุอาหารถูกชะล้างไปกับน้ำได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยในช่วงแล้ง หรือขาดน้ำ เพราะอาจสูญเสียธาตุอาหารไปกับการระเบิด นอกจากนี้ในช่วงที่ขาดน้ำการเคลื่อนย้ายธาตุอาหารจากดิน หรือปุ๋ยที่ใส่สู่รากพืชลดลง มีผลให้การตอบสนองของผลผลิตต่อการใส่ปุ๋ยลดลง และในเวลาในการใส่ปุ๋ย ก็ควรใส่หลังจากที่มีการกำจัดวัชพืชรอบโคน เพื่อลดการแข่งขันกันในการดูดธาตุอาหารระหว่างปาล์มและวัชพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปาล์มเล็ก

 

เวลาที่หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ย

1) เดือนที่มีฝนตกมากกว่า 250 มม. ต่อเดือน และเดือนที่มีฝนตกน้อยกว่า 25 มม. ต่อเดือน

2) เดือนที่มีฝนตกมากกว่า 15 วันต่อเดือน

3) เดือนที่มีความแรงของฝนมากกว่า 25 มม. ต่อวัน

4) หลังจากมีฝนติดต่อกันเป็นเวลานานๆ หรือดินอิ่มตัวด้วยน้ำ

 

3.6 ข้อพิจารณาความต้องการธาตุอาหารของปาล์มน้ำมัน

          ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นหลักใหญ่ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใส่ปุ๋ยแต่ก่อนที่จะทำการใส่ปุ๋ยควรคำนึงประเด็นอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความต้องการธาตุอาหารของปาล์มน้ำมันประกอบด้วย เช่น

3.6.1 ประเมินศักยภาพการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมัน

3.6.2 เก็บตัวอย่างดินและใบมาวิเคราะห์ธาตุอาหาร เพื่อดูปริมาณธาตุอาหารว่าพอเพียงหรือไม่

3.6.3 สังเกตอาหารขาดธาตุอาหารที่ใบปาล์ม และพืชคลุมดิน

3.6.4 ประเมินปริมาณธาตุอาหารที่ติดไปกับผลผลิตทะลาย

3.6.5 จัดการธาตุอาหารให้สมดุล โดยประเมินจากธาตุอาหารที่สูญเสียโดยติดไปกับผลผลิต กับธาตุอาหารที่ได้กลับคืนมา เช่น จากกองใบปาล์ม หรือทะลายเปล่าปาล์มน้ำมัน และจากการใส่ปุ๋ย

3.6.6 ประเมินความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ด้วยสายตา เช่น ประเมินจากลักษณะของดิน ต้นปาล์มน้ำมันที่ขึ้นอยู่ภายในพื้นที่บริเวณนั้น

3.6.7 ใส่ปุ๋ยในดินล่าง (sub soil) เพื่อลดการสูญเสียธาตุอาหารจากการระเหิด และน้ำไหลบ่า

3.6.8 ใช้ปุ๋ยเคมีสลายตัวช้า (slow release) เพื่อลดการสูญเสียธาตุอาหารจากการชะล้าง

3.6.9 อย่าใส่ธาตุอาหารมากเกินความต้องการของปาล์มน้ำมัน